กินซะ
กินซะ | |
---|---|
![]() มุมมองย่านกินซะมองจากโตเกียวทาวเวอร์ | |
พิกัด: 35°40′16.4″N 139°45′54.0″E / 35.671222°N 139.765000°E | |
ประเทศ | ![]() |
จังหวัด | ![]() |
เขตพิเศษ | ![]() |
พื้นที่ | เคียวบาชิ |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 0.87 ตร.กม. (0.34 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 4.4 เมตร (14.4 ฟุต) |
ประชากร (1 กันยายน ค.ศ.2019)[1] | |
• ทั้งหมด | 3,608 คน |
• ความหนาแน่น | 4,100 คน/ตร.กม. (11,000 คน/ตร.ไมล์) |
รหัสไปรษณีย์ | 104-0061[2] |
รหัสพื้นที่ | 03[3] |
ทะเบียนพาหนะ | |
※ข้อมูลพิกัดและระดับความสูงที่บริเวณสี่แยกกินซะยนโจเมะ |
กินซะ (ญี่ปุ่น:
กินซะนั้นเดิมเป็นหนองบึง ต่อมาได้รับการถมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ครั้น ค.ศ. 1612 ตรงกับยุคเอโดะ มีการตั้งโรงกษาปณ์ขึ้น ณ ที่นั้นเรียกชื่อว่ากินซะ ที่ดินจึงได้ชื่อตามโรงกษาปณ์ไปด้วย[4]
พอ ค.ศ. 1872 เกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนบริเวณนั้นเกือบสิ้น[4] เมื่อเพลิงสงบ รัฐบาลเมจิจึงกำหนดให้ใช้ย่านกินซะเป็น "ตัวอย่างการพัฒนาให้ทันสมัย" โดยเตรียมสร้างอาคารด้วยอิฐกันไฟ พร้อมด้วยถนนหนทางกว้างขวางเชื่อมกับสถานีรถไฟชิมบาชิ เขตสัมปทานต่างชาติในย่านสึกิจิ ตลอดจนสำนักราชการบ้านเมืองหลายแห่ง ทอมัส วอเตอส์ (Thomas Waters) สถาปนิกชาวไอริช รับหน้าที่วางแผนปรับปรุงที่ดินดังกล่าว[4] ส่วนทบวงโยธาธิการ กระทรวงการคลัง รับหน้าที่ก่อสร้าง ครั้นปีถัดมา จึงได้เห็นเส้นทางสำหรับเดินทอดน่องท่องเที่ยวอย่างตะวันตกเริ่มตั้งแต่ปลายสะพานชิมบะชิไปจนสุดสะพานเคียวชาบิด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเขตชูโอ
อย่างไรก็ดี อาคารฝรั่งหลายแห่งบัดนี้ได้สูญสิ้นลงหมดแล้ว เหลือไม่กี่แห่งซึ่งมีอายุมากและคงรักษาไว้อยู่ ในจำนวนนี้รวมถึง ร้านวาโก (
ส่วนความเป็นไปในสมัยหลังของกินซะนั้นเกี่ยวเนื่องกับห้างร้านอย่างฝรั่งเสียมาก เนื่องจากกินซะได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางอันได้รับความนิยมมากในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งมีการปิดการจราจรบนเส้นทางหลักตั้งแต่เหนือจรดใต้เพื่อประโยชน์ในการท่องเที่ยวมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 ตามคำสั่งของเรียวกิจิ มิโนเบะ (
![](https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/b2/Ginza_Wako_Clock.jpg/300px-Ginza_Wako_Clock.jpg)