ฟาโรห์อินโยเตฟที่ 1
ฟาโรห์อินโยเตฟที่ 1 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อันเตฟ, อินโยเตฟ, อันโจเตฟ, อันโยเตฟ, เอนโยเตฟ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระนามฮอรัสของฟาโรห์อินเตฟที่ 1 อ่านว่า "ฮอรัส เซเฮอร์ทาวี" ซึ่งจารึกไว้แด่พระองค์ภายหลังจากการสวรรคตโดยเมนทูโฮเทปที่ 1ในวิหารแห่งเทพมอนทูที่โตด ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฟาโรห์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รัชกาล | 4 ถึง 16 ปี, ประมาณ 2120 ปีก่อนคริสตกาล หรือ 2070 ปีก่อนคริสตกาล[1] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เมนทูโฮเทปที่ 1 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | อินโยเตฟที่ 2 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบิดา | ไม่แน่ชัด, อาจจะ เมนทูโฮเทปที่ 1[3] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชมารดา | เนเฟรูที่ 1 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สุสาน | สุสานแถวที่เอล-ทารีฟ ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ "ซาฟ เอล-ดาวาบา"[3] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ที่สิบเอ็ดแห่งอียิปต์ |
เซเฮอร์ทาวี อินเตฟที่ 1 เป็นผู้ปกครองท้องถิ่นที่ธีบส์ในสมัยต้นช่วงระหว่างกลางที่หนึ่งและเป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกจากราชวงศ์ที่สิบเอ็ดแห่งอียิปต์ที่ใช้พระนามฮอรัส ฟาโรห์อินเตฟครองราชย์เป็นระยะเวลา 4 ถึง 16 ปี (ราว 2120 ปีก่อนคริสตกาล หรือราว 2070 ปีก่อนคริสตกาล)[4] ในช่วงเวลานั้น พระองค์อาจจะทำสงครามกับเขตปกครองทางเหนือของพระองค์นำโดยทจาอูติ ซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องถิ่นที่คอปโตส พระองค๋ได้รับการฝังอยู่ในหลุมพระศพแบบแถวที่เอล-ทารีฟ ซึ่งเป็นที่รู้จักในปัจจุบันในชื่อ ซาฟ เอล-ดาวาบา[5]
หลักฐาน
[แก้]ฟาโรห์อินเตฟเป็นที่รู้จักจากหลักฐานร่วมสมัยเพียงชิ้นเดียว: จารึกสองบล็อกจากวิหารแห่งเทพมอนทูที่เมืองโตด ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยของฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2 จารึกบล็อกเหล่านี้แสดงให้ภาพฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 2 กับพระนามของผู้ปกครองก่อนหน้าทั้งสามพระองค์ ซึ่งระบุด้วยพระนามเดิมและพระนามฮอรัสคือ อินเตฟ (ที่ 1) เซเฮอร์ทาวี, อินเตฟ (ที่ 2) วาอังค์ และอินเตฟ (ที่ 3) นัคห์-เนบ-เทป-เนเฟอร์ (แม้ว่าในกรณีนี้จะหลงเหลือเพียงเฉพาะพระนาม เซเฮอร์ทาวี และวาอังค์เท่านั้น)[6] และจารึกนี้ได้ยืนยันการขึ้นครองราชย์ของฟาโรห์ในราชวงศ์ที่สิบเอ็ด
ไม่พบหลักฐานร่วมสมัยที่น่าเชื่อถือที่สามารถนำมาเชื่อมโยงกับฟาโรห์อินเตฟได้[7] เว้นแต่จารึกสั้น ๆ ที่ค้นพบในทะเลทรายตะวันตกปรากฏวลีที่ว่า "กองกำลังจู่โจมของโอรสแห่งเร, อินเตฟ" ในการตีพิมพ์ต้นฉบับของคำจารึกนี้ ฟาโรห์อินเตฟได้ถูกระบุด้วยพระนาม อินเตฟที่ 1 แต่ก็การเสนอความเห็นว่าอาจจะเป็น อินเตฟที่ 2 ซึ่งมีความเป็นไปได้เช่นกัน[5] จารึกนี้ตั้งอยู่ใกล้กับจารึก ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ปกครองท้องถิ่นคอปโตสในช่วงเวลานั้นนามว่า ทจาอูติ (ดูด้านล่าง)[8]
พระนามของฟาโรห์อินเตฟน่าจะปรากฏบนบันทึกพระนามกษัตริย์ในเวลาภายหลัง แต่ยังคงไม่แน่ชัด เนื่องจากชื่อของเขาสูญหายหรือเสียหาย ในบันทึกพระนามแห่งคาร์นัก พระนามของฟาโรห์อินเตฟปรากฏถัดจากพระนาม "เมน..." ซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะเป็นพระนามของฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 1 และเป็นส่วนหนึ่งของพระนามฮอรัส "บรรพบุรุษ (the ancestor)" ในเวลาภายหลังยังคงปรากฏให้เห็นหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นพร้อมกับพระนาม เซเฮอร์ทาวี ของฟาโรห์อินเตฟ พระนามและระยะเวลาของรัชสมัยของพระองค์ในบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินได้สูญหายไปจากส่วนที่ได้รับความเสียหายขนาดใหญ่ในคอลัมน์ที่ 5 บรรทัดที่ 13 ของบันทึกพระนามฯ ซึ่งได้รับการพิจารณาที่มีพระนามอยู่ในบันทึกพระนามจริงและเป็นไปได้ว่าพระนามของฟาโรห์อินเตฟน่าจะปรากฏในส่วนที่เสียหาย ระยะเวลาของรัชสมัยของฟาโรห์จากราชวงศ์ที่สิบเอ็ดพระองค์อื่น ๆ ยังคงหลงเหลืออยู่ในบันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินและนับรวมกันได้ถึง 127 ปี นอกจากนี้ ยังหลงเหลือส่วนที่ระบุอายุรัชสมัยการครองราชย์ตลอดทั้งราชวงศ์ในบันทึกพระนามฯซึ่งรวมเป็นเวลา 143 ปี จากหลักฐานเหล่านี้ที่หลงเหลืออยู่ในเวลาต่อมา ระยะเวลาการปกครองที่สูญหายไปของฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 1 และฟาโรห์อินเตฟที่ 1 ได้ถูกคำนวณให้รวมกันอยู่ที่ระยะ 16 ปี ซึ่งหมายความว่าการครองราชย์ของพระองค์จะมีระยะเวลาน้อยกว่า 16 ปี ดังนั้นระยะเวลาในรัชสมัยของฟาโรห์อินเตฟ จึงมักมีระบุว่าอยู่ระหว่าง 4 ถึง 16 ปี[5] โดยพระอนุชาของพระองค์คือฟาโรห์อินเตฟที่ 2 ได้ขึ้นมาครองราชย์ต่อจากพระองค์ ซึ่งได้ทำสงครามกับทางเหนือของธีบส์ต่อจากพระองค์
รัชสมัย
[แก้]เซเฮอร์ทาวี อินเตฟที่ 1 เป็นเชื้อพระวงศ์พระองค์แรกจากราชวงศ์ของพระองค์ ซึ่งที่ได้รับตำแหน่งขึ้นเป็นฟาโรห์ โดยมีพระนามฮอรัสว่า เซเฮอร์ทาวี แปลว่า "ผู้สร้างสันติภาพในสองดินแดน", "ผู้ที่นำความสงบสุขมาสู่สองดินแดน" และ "ผู้ที่ทำให้ทั้งสองดินแดนสงบสุข"[9][5][10] พระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์ อาจจะเป็นฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 1 และพระนางเนเฟรูที่ 1[5]
ฟาโรห์อินเตฟที่ 1 ทรงประกาศพระองค์เป็นผู้ปกครองอียิปต์ทั้งหมด ด้วยการใช้พระนามฮอรัสพร้อมมงกุฎทั้งสองดินแดน[5] อย่างไรก็ตาม พระราชอำนาจของพระองค์ยังถูกสั่นคลอนโดยผู้ปกครองท้องถิ่นอื่น ๆ ของอียิปต์ ผู้นำในหมู่ผู้ปกครองท้องถิ่นเหล่านี้ คือ ผู้ปกครองจากราชวงศ์ที่สิบแห่งอียิปต์ที่เฮราคลีโอโพลิส แมกนา ซึ่งได้อ้างสิทธิ์ในตำแหน่งของฟาโรห์ และอังค์ติฟิ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีอำนาจเหล่าผู้ปกครองแห่งเฮราคลีโอโพลิส และผู้ปกครองท้องถิ่นที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์ที่สิบ[11] ในการขึ้นครองบัลลังก์ของพระองค์ อาจจะปกครองเพียงเขตปกครองบริเวณธีบส์เท่านั้น แต่คาดว่าหลังจากมีชัยเหนืออังค์ติฟิ หรือหนึ่งในผู้ที่ขึ้นมาปกครองท้องถิ่นต่อเขา ฟาโรห์อินเตฟจึงได้ยึดสามเขตการปกครองทางใต้ของธีบส์ลงไปถึงเกาะแอลเลเฟนไทน์และขึ้นไปทางเหนือจรดเขตปกครองคอปโตส หรืออีกทางหนึ่ง การเอาชนะผู้ปกครองท้องถิ่นดังกล่าว อาจทำได้โดยฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ปกครองก่อนหน้าของพระองค์[5] ข้อสมมติฐานทั้งสองข้อยังคงเป็นการคาดเดา เนื่องจากขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น
ฟาโรห์อินเตฟที่ 1 ได้เริ่มในสงครามกับเขตปกครองทางเหนือของพระองค์อย่างรวดเร็ว ภาพวาดที่ค้นพบโดยการสำรวจถนนทะเลทรายแห่งธีบส์ในเกเบล จาติ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของธีบส์ ซึ่งปรากฏวลีที่ว่า "กองกำลังจู่โจมของโอรสแห่งรา, อินเทฟ" [5][12] อยู่ที่นั่น มีการสันนิษฐานว่าคำจารึกนี้หมายถึงฟาโรห์อินเตฟที่ 1 ซึ่งทหารกำลังต่อสู้กับผู้ปกครองทิ้งถิ่นแห่งคอปโตสนามว่า ทจาอูติ ในการสนับสนุนข้อสมมติฐานนี้ คือ การพบจารึกที่เสียหายในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งสร้างขึ้นโดยทจาอูติ ซึ่งรายงานการก่อสร้างถนนเพื่อให้คนของเขาเดินทางข้ามทะเลทราย "ซึ่งผู้ปกครองของเขตปกครองอื่นได้ปิด [เมื่อเขามาเพื่อ] ต่อสู้กับเขตปกครองของข้า ..."[5] ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ระบุชื่อไว้อย่างชัดเจน แต่ดาร์เรล เบเกอร์และนักไอยคุปต์วิทยาคนอื่น ๆ ได้โต้แย้งว่า ผู้ปกครองคนนี้จะต้องเป็นฟาโรห์อินเตฟที่ 1 ไม่ก็ฟาโรห์อินเตฟที่ 2 ซึ่งเป็นที่ขึ้นมาปกครองต่อจากพระองค์ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ความพ่ายแพ้ที่ตามมาของทจาอูติ ทำให้เขตปกครองคอปโตส, เขตปกครองเดนเดรา และสามเขตปกครองของราชวงศ์ที่สิบแห่งเฮราคลีโอโพลิสตกอยู่ภายใต้อำนาจของธีบส์ ซึ่งทำให้ขยายอาณาเขตของผู้ปกครองแห่งธีบส์ไปทางเหนือ 250 กม. จรดเขตปกครองอไบดอส
หลุมฝังพระศพ
[แก้]สถานที่ฝังพระศพของฟาโรห์อินเตฟถูกขุดขึ้นบนเนินเขาที่เอล-ทารีฟ บนฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำไนล์ที่ธีบส์ และเป็นที่รู้จักในปัจจุบันในชื่อว่า ซาฟ เอล-ดาวาบา ที่ตั้งของเอล-ทารีฟประกอบด้วยสุสานหลวงสามแห่งที่เรียกว่าสุสานแถว (saff tomb) จารึกที่พบในหลุมฝังพระศพแห่งหนึ่งระบุว่าเป็นของฟาโรห์วาอังค์ อินเตฟที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ที่ขึ้นมาปกครองต่อจากพระองค์ ในทางกลับไม่พบจารึกในซาฟ เอล-ดาวาบา แต่ให้พบเครื่องปั้นดินเผาแบบแรกสุดที่พบในเอล-ทารีฟ และด้วยเหตุนี้จึงมักถูกระบุถึงฟาโรห์อินเตฟ[4][13] ที่ซาฟ เอล-ดาวาบาประกอบด้วยลานกว้างใหญ่ขนาด 300 x 75 เมตร (984 ฟุต x 246 ฟุต) และมีโดยทางเดินแนวเสาที่นำไปสู่วิหารฝังพระศพที่แกะสลักไว้บนเนินเขาและขนาบข้างด้วยห้องสองห้อง ห้องฝังพระศพของฟาโรห์อินเตฟที่ 1 ถูกขุดไว้ใต้วิหารฝังพระศพ[5]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Thomas Schneider: Ancient Egyptian Chronology - Edited by Erik Hornung, Rolf Krauss, And David a. Warburton, available online, see p. 491
- ↑ 2.0 2.1 Clayton, Peter A. Chronicle of the Pharaohs: The Reign-by-Reign Record of the Rulers and Dynasties of Ancient Egypt. Thames & Hudson. p72. 2006. ISBN 0-500-28628-0
- ↑ 3.0 3.1 Darrell D. Baker: The Encyclopedia of the Pharaohs: Volume I - Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300–1069 BC, Stacey International, ISBN 978-1-905299-37-9, 2008, pp. 143-144
- ↑ 4.0 4.1 Thomas Schneider: Ancient Egyptian Chronology - Edited by Erik Hornung, Rolf Krauss, And David a. Warburton, available online, see p. 491
- ↑ 5.00 5.01 5.02 5.03 5.04 5.05 5.06 5.07 5.08 5.09 Darrell D. Baker: The Encyclopedia of the Pharaohs: Volume I - Predynastic to the Twentieth Dynasty 3300–1069 BC, Stacey International, ISBN 978-1-905299-37-9, 2008, pp. 143-144
- ↑ Labib Habachi: King Nebhepetre Menthuhotep: his monuments, place in history, deification and unusual representations in the form of gods, in Mitteilungen des deutschen Archaeologischen Instituts, Kairo 19 (1963), fig. 22)
- ↑ Schneider, op. cit. p. 161
- ↑ John Coleman Darnell: Theban Desert Road Survey in the Egyptian Western Desert, Volume I, Chicago 2002, ISBN 1-885923-17-1, 38-46
- ↑ Clayton, Peter A. . Thames & Hudson. p72. 2006. ISBN 0-500-28628-0
- ↑ Nicholas Grimal, A History of Ancient Egypt (Oxford: Blackwell Books, 1992), p. 143
- ↑ Grimal, p.142
- ↑ Theban Desert Road Survey website เก็บถาวร 2013-12-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Rasha Soliman: Old and Middle Kingdom Theban Tombs, London 2009 ISBN 978-1-906137-09-0, 31-35