ภาษาสันสกฤต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภาษาสันสกฤต
संस्कृतम् สํสฺกฺฤตมฺ
จำนวนผู้พูด6,106 ภาษาหลัก
194,433 ภาษาที่สอง  (ไม่พบวันที่)
ตระกูลภาษา
ระบบการเขียนอักษรเทวนาครี
สถานภาพทางการ
ภาษาทางการอินเดีย
รหัสภาษา
ISO 639-1sa
ISO 639-2san
ISO 639-3san

ภาษาสันสกฤต เป็นภาษาที่รับอิทธิพลมาจากอินเดียและส่งผลมาถึงอาณาจักรในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สันสกฤต: संस्कृता वाक्, สํสฺกฺฤตา วากฺ; อังกฤษ: Sanskrit) เป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุดภาษาหนึ่งในภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน (หรืออินเดีย-ยุโรป) สาขาย่อยอินโด-อิเรเนียน (อินเดีย-อิหร่าน) และอยู่ในกลุ่มย่อยอินโด-อารยัน (อินเดีย-อารยะ) โดยมีระดับวิวัฒนาการในระดับใกล้เคียงกับภาษาละตินและภาษากรีก เป็นต้น โดยทั่วไปถือว่าเป็นภาษาที่ตายแล้ว ทว่ายังมีผู้ใช้ภาษาสันสกฤตอยู่บ้างในแวดวงที่จำกัดในประเทศอินเดีย เช่น หมู่บ้านมัททูร์ ในรัฐกรณาฏกะ[1] โดยมีการคิดคำศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย ในศาสนาฮินดูเชื่อว่า ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาสื่อที่เทพเจ้าใช้สื่อสารกับมวลมนุษย์ เพื่อถ่ายทอดความรู้แจ้งและปัญญาญาณแก่เหล่าฤๅษีทั้งหลายแต่ครั้งดึกดำบรรพ์

ประวัติ

จารึกเทวีมหาตฺมฺยา (देवीमहत्म्या) บนใบลาน จารึกด้วยตัวอักษร Bhujimol ของอาณาจักรพิหาร (Bihar) หรือประเทศเนปาลในปัจจุบัน จารึกในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16

คำว่า สํสฺกฤต (संस्कृत) แปลว่า "กลั่นกรองแล้ว" ส่วนคำว่า สํสฺกฤตา วากฺ (संस्कृता वाक्) จะใช้เพื่อเรียก "ภาษาที่กลั่นกรองแล้ว" ซึ่งเป็นภาษาของชนชั้นพราหมณ์ ตรงข้ามกับภาษาพูดของชาวบ้านทั่วไปที่เรียกว่าปรากฤต ภาษาสันสกฤตมีพัฒนาการในหลายยุคสมัย โดยมีหลักฐานเก่าแก่ที่สุด คือภาษาที่ปรากฏในคัมภีร์ฤคเวท (เมื่อราว 1,200 ปีก่อนคริสตกาล) อันเป็นบทสวดสรรเสริญพระเจ้าในลัทธิพราหมณ์ในยุคต้น ๆ อย่างไรก็ตาม ในการจำแนกภาษาสันสกฤตโดยละเอียด นักวิชาการอาจถือว่าภาษาในคัมภีร์ฤคเวทเป็นภาษาหนึ่งที่ต่างจากภาษาสันสกฤตแบบแผน (Classical language) และเรียกว่า ภาษาพระเวท (Vedic language) ภาษาพระเวทดั้งเดิมยังมิได้มีการวางกฎเกณฑ์ให้เป็นระเบียบรัดกุมและสละสลวย และมีหลักทางไวยากรณ์อย่างกว้าง ๆ ปรากฏอยู่ในบทสวดในคัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดู เนื้อหาคือบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า เอกลักษณ์ที่ปรากฏอยู่เฉพาะในภาษาพระเวทคือระดับเสียง (Accent) ซึ่งกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และถือเป็นสิ่งสำคัญของการสวดพระเวทเพื่อให้สัมฤทธิผล

ภาษาสันสกฤตมีวิวัฒนาการมาจากภาษาชนเผ่าอารยัน หรืออินโดยูโรเปียน (Indo-European) บรรพบุรุษของพวกอินโด-อารยัน ตั้งรกรากอยู่เหนือเอเซียตะวันออก (ตอนกลางของทวีปเอเชีย - Central Asia) โดยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง กลุ่มอารยันต้องเร่ร่อนทำมาหากินเหมือนกันชนเผ่าอื่น ๆ ในจุดนี้เองที่ทำให้เกิดการแยกย้ายถิ่นฐาน การเกิดประเพณี และภาษาที่แตกต่างกันออกไป ชนเผ่าอารยันได้แยกตัวกันออกไปเป็น 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มที่ 1 แยกไปทางตะวันตกเข้าสู่ทวีปยุโรป กลุ่มที่ 2 ลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้ อนุมานได้ว่าน่าจะเป็นชนชาติอิหร่านในเปอร์เซีย และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุด กลุ่มนี้แยกลงมาทางใต้ตามลุ่มแม่น้ำสินธุ (Indus) ชาวอารยันกลุ่มนี้เมื่อรุกเข้าในแถบลุ่มแม่น้ำสินธุแล้ว ก็ได้ไปพบกับชนพื้นเมืองที่เรียกว่า ดราวิเดียน (Dravidian) และเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมและภาษา โดยชนเผ่าอารยันได้นำภาษาพระเวทยุคโบราณเข้าสู่อินเดียพร้อม ๆ กับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งในยุคต่อมาได้เกิดตำราไวยากรณ์ภาษาสันสกฤตคือ อษฺฏาธฺยายี (अष्टाध्यायी "ไวยากรณ์ 8 บท") ของปาณินิ เชื่อกันว่ารจนาขึ้นในช่วงพุทธกาล ปาณินิเห็นว่าภาษาสันสกฤตแบบพระเวทนั้นมีภาษาถิ่นปนเข้ามามากพอสมควรแล้ว หากไม่เขียนไวยากรณ์ที่เป็นระเบียบแบบแผนไว้ ภาษาสันสกฤตแบบพระเวทที่เคยใช้มาตั้งแต่ยุคพระเวทจะคละกับภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ทำให้การประกอบพิธีกรรมไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น จึงแต่งอัษฏาธยายีขึ้น ความจริงตำราแบบแผนไวยากรณ์ก่อนหน้าปาณินิได้มีอยู่ก่อนแล้ว แต่เมื่อเกิดอัษฏาธยายีตำราเหล่านั้นก็ได้หมดความนิยมลงและสูญไปในที่สุด ผลของไวยากรณ์ปาณินิก็คือภาษาเกิดการจำกัดกรอบมากเกินไป ทำให้ภาษาไม่พัฒนา ในที่สุด ภาษาสันสกฤตแบบปาณินิ หรือภาษาสันสกฤตแบบฉบับ จึงกลายเป็นภาษาเขียนในวรรณกรรม ซึ่งผู้ที่สามารถจะอ่าน เขียนและแปลได้จะต้องใช้เวลามากพอสมควร

ภาษาสันสกฤตแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มกว้าง ๆ ได้แก่ ภาษาสันสกฤตแบบแผน และภาษาสันสกฤตผสม

ภาษาสันสกฤตแบบแผน

เกิดขึ้นจากการวางกฎเกณฑ์ของภาษาสันสกฤตให้มีแบบแผนที่แน่นอนในสมัยต่อมา โดยนักปราชญ์ชื่อ ปาณินิตามประวัติเล่าว่าเป็นผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์ แคว้นคันธาระราว 57 ปีก่อนพุทธปรินิพพาน บางกระแสว่าเกิดราว พ.ศ. 143 ปาณินิได้ศึกษาภาษาในคัมภีร์พระเวทจนสามารถหาหลักเกณฑ์ของภาษานั้นได้ จึงจัดรวบรวมขึ้นเป็นหมวดหมู่ เรียบเรียงเป็นตำราไวยากรณ์ขึ้น 8 บทให้ชื่อว่า อัษฏาธยายี มีสูตรเป็นกฎเกณฑ์อธิบายโครงสร้างของคำอย่างชัดเจน นักวิชาการสมัยใหม่มีความเห็นว่า วิธีการศึกษาและอธิบายภาษาของปาณินิเป็นวิธีวรรณนา คือศึกษาและอธิบายตามที่ได้สังเกตเห็นจริง มิได้เรียบเรียงขึ้นตามความเชื่อส่วนตัว มิได้เรียบเรียงขึ้นตามหลักปรัชญา คัมภีร์อัษฏาธยายีจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นตำราไวยากรณ์เล่มแรกที่ศึกษาภาษาในแนววิทยาศาสตร์และวิเคราะห์ภาษาได้สมบูรณ์ที่สุด[ต้องการอ้างอิง] ความสมบูรณ์ของตำราเล่มนี้ทำให้เกิดความเชื่อในหมู่พราหมณ์ว่า ตำราไวยากรณ์สันสกฤตหรือปาณินิรจนานี้ สำเร็จได้ด้วยอำนาจพระศิวะ อย่างไรก็ตาม นักภาษาศาสตร์เชื่อว่าการวางแบบแผนอย่างเคร่งครัดของปาณินิ ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาษาสันสกฤตต้องกลายเป็นภาษาตายอย่างรวดเร็วก่อนเวลาอันควร[ต้องการอ้างอิง] เพราะทำให้สันสกฤตกลายเป็นภาษาที่ถูกจำกัดขอบเขต (a fettered language) ด้วยกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ที่เคร่งครัดและสลับซับซ้อน ภาษาสันสกฤตที่ได้ร้บการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ให้ดีขึ้นโดยปาณินินี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เลากิกภาษา" หมายถึงภาษาที่ใช้กับสิ่งที่เป็นไปในทางโลก

ภาษาสันสกฤตผสม

ภาษาสันสกฤตผสม (Buddhist Hybrid Sanskrit or Mixed Sanskrit) เป็นภาษาสันสกฤตที่นักวิชาการบางกลุ่มได้จัดไว้เป็นพิเศษ เนื่องจากมีความแตกต่างจากภาษาพระเวทและภาษาสันสกฤตแบบแผน (ตันติสันสกฤต) ภาษาสันสกฤตแบบผสมนี้คือภาษาที่ใช้บันทึกวรรณคดีสันสกฤตทางพระพุทธศาสนา ทั้งในนิกาย สรรวาสติวาท และ มหายาน ภาษาสันสกฤตชนิดนี้คาดว่าเกิดขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 3-4 นักปราชญ์บางท่านถือว่าเกิดขึ้นร่วมสมัยกับตันติสันสกฤต คือในปลายสมัยพระเวทและต้นของยุคตันติสันสกฤต โดยปรากฏอยู่โดยส่วนมากในวรรณกรรมของพระพุทธศาสนามหายาน อาทิ พระสูตร เช่น ลลิตวิสฺตร ลงฺกาวตารสูตฺร ปฺรชฺญาปารมิตา สทฺธรฺมปุณฺฑรีกสูตฺร และศาสตร์อันเป็นคำอธิบายหลักพุทธปรัชญาและตรรกวิทยา เช่น มธฺยมิกการิกา อภิธรฺมโกศ มหาปฺรชฺญาปารมิตาศาสฺตฺร มธฺยานฺตานุคมศาสฺตฺร เป็นต้น

ไวยากรณ์[2]

ไวยากรณ์ของภาษาสันสกฤตมีความซับซ้อนมากกว่าหลาย ๆ ภาษา โดยเฉพาะกฎเกณฑ์การสนธิ แต่ก็นับว่ามีความสอดคล้องกับหลายภาษาในกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียน เช่น กรีกหรือละติน อย่างที่กล่าวมาข้างต้น อย่างไรก็ตาม ไวยากรณ์สันสกฤตอาจเทียบเคียงได้กับของภาษาบาลี แต่ยังมีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่าพอสมควร

พยัญชนะและสระ

ภาษาสันสกฤตมีรูปอักษร 48 ตัว แบ่งเป็นพยัญชนะ 34 ตัว สระ 14 ตัว การศึกษาภาษาสันสกฤตในประเทศไทย นิยมใช้อักษร 3 ชนิด คือ อักษรไทย อักษรเทวนาครี และอักษรโรมัน ในที่นี้จะแสดงสระและพยัญชนะด้วยอักษรไทย

สระ 14 ตัวได้แก่ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไอ เอา แบ่งได้เป็น 3 ขั้นคือ ขั้นปกติ ขั้นคุณ ขั้นพฤทธิ์

พยัญชนะ 34 ตัวแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

  • พยัญชนะวรรค แบ่งเป็น 5 วรรค รวม 25 ตัว คือ
    • วรรค กะ เสียงเกิดที่คอ ได้แก่ ก ข ค ฆ ง
    • วรรค จะ เสียงเกิดที่เพดาน ได้แก่ จ ฉ ช ฌ ญ
    • วรรค ฏะ เสียงเกิดที่ปุ่มเหงือก ได้แก่ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
    • วรรค ตะ เสียงเกิดที่ฟัน ได้แก่ ต ถ ท ธ น
    • วรรค ปะ เสียงเกิดที่ริมฝีปาก ได้แก่ ป ผ พ ภ ม
  • พยัญชนะอวรรค 9 ตัว แบ่งเป็น
    • เสียงกึ่งสระ ได้แก่ ย เสียงเกิดที่เพดาน ร เสียงเกิดที่ปุ่มเหงือก ล เสียงเกิดที่ฟัน ว เสียงเกิดที่ริมฝีปาก
    • เสียงเสียดแทรก ได้แก่ ศ เสียงเกิดที่เพดาน ษ เสียงเกิดที่ปุ่มเหงือก ส เสียงเกิดที่ฟัน
    • เสียงหนักมีลม ได้ แก่ ห
    • ฬ และ อัง(อํ)

พยัญชนะไทยที่เขียนลำพังโดยไม่มีสระอื่นถือว่ามีเสียงอะ ถ้ามีจุดข้างล่างถือว่าไม่มีเสียงสระ

คำนาม

ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่มีการลงวิภัตติปัจจัย แจกนามได้ถึง 8 การก {แบ่งเป็น 3 พจน์ (เอกพจน์, ทวิพจน์, พหูพจน์) และสามเพศ (สตรีลิงค์, ปุลลิงก์ และนปุงสกลิงก์) }

คำกริยา

สำหรับกริยา (ธาตุ) ในภาษาสันสกฤตนั้นมีความซับซ้อนยิ่งกว่าคำนาม กล่าวคือ จำแนกกริยาไว้ถึง 10 คณะ แต่ละคณะมีการเปลี่ยนรูป (เสียง) แตกต่างกันไป กริยาเหล่านี้จะแจกรูปตามประธาน 3 แบบ (ปฐมบุรุษ, มัธยมบุรุษ และอุตมบุรุษ) นอกจากนี้กริยายังต้องแจกรูปตามกาล (Tense) 6 ชนิด และตามมาลา (Mood) 4 ชนิด

อักษร

ภาษาสันสกฤตไม่มีอักษรสำหรับเขียนชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ และก็คล้ายกับภาษาอื่นหลายภาษา นั่นคือสามารถเขียนได้ด้วยอักษรหลายชนิด อักษรเก่าแก่ที่ใช้เขียนภาษาสันสกฤตมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น อักษรขโรษฐี (Kharosthī) หรืออักษรคานธารี (Gāndhārī) นอกจากนี้ยังมีอักษรพราหมี (อักษรทั้งสองแบบพบได้ที่จารึกบนเสาอโศก) อักษรรัญชนา ซึ่งนิยมใช้จารึกคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาในอินเดียเหนือและเนปาล รวมถึง อักษรสิทธัม ซึ่งใช้บันทึกคัมภีร์พุทธศาสนารวมถึงบทสวดภาษาสันสกฤตในประเทศจีนและญี่ปุ่นโดยเฉพาะในนิกายมนตรยาน อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปนิยมเขียนภาษาสันสกฤตด้วยอักษรเทวนาครี (Devanāgarī) ส่วนอักษรอื่น ๆ เป็นความนิยมในแต่ละท้องถิ่น ทั้งนี้เนื่องจากอักษรที่ใช้ในอินเดีย มักจะเป็นตระกูลเดียวกัน จึงสามารถดัดแปลงและถ่ายทอด (transliteration) ระหว่างชุดอักษรได้ง่าย

แม้กระทั่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีจารึกภาษาสันสกฤตที่ใช้ อักษรปัลลวะ อักษรขอม นอกจากนี้ชาวยุโรปยังใช้อักษรโรมันเขียนภาษาสันสกฤต โดยเพิ่มเติมจุดและเครื่องหมายเล็กน้อยเท่านั้น

สระ

The cardinal vowels (svaras) i (อิ), u (อุ), a (อะ) distinguish length in Sanskrit, states Jamison.[3][4] The short a (अ) in Sanskrit is a closer vowel than ā, equivalent to schwa. The mid vowels ē (ए) and ō (ओ) in Sanskrit are monophthongizations of the Indo-Iranian diphthongs ∗ai and ∗au. The Old Iranian language preserved *ai and ∗au.[3] In contrast, in Sanskrit, they are inherently long. The vocalic liquid *r̥ in Sanskrit is a merger of PIE ∗r̥ and ∗l̥. The long r̥ is an innovation and it is used in a few analogically generated morphological categories.[3][5][6]

Sanskrit vowels in the Devanagari script[ต้องการอ้างอิง]
(note: Sanskrit is written in many scripts)
Sounds in grey are not phonemic.
Independent form IAST/
ISO
Independent form IAST/
ISO
kaṇṭhya
(Guttural)
อะ a อา ā
tālavya
(Palatal)
อิ i อี ī
oṣṭhya
(Labial)
อุ u อู ū
mūrdhanya
(Retroflex)
/r̥ ฤๅ /r̥̄
dantya
(Dental)
/l̥ (ฦๅ) (/l̥̄)[7]
kaṇṭhatālavya
(Palatoguttural)
เอ e ไอ ai
kaṇṭhoṣṭhya
(Labioguttural)
โอ o เอา au
(consonantal allophones) อํ aṃ/aṁ[8] aḥ[9]

According to Masica, Sanskrit has four traditional semivowels, with which were classed, "for morphophonemic reasons, the liquids: y, r, l, and v; that is, as y and v were the non-syllabics corresponding to i, u, so were r, l in relation to r̥ and l̥".[10] The northwestern, the central and the eastern Sanskrit dialects have had a historic confusion between "r" and "l". The Paninian system that followed the central dialect preserved the distinction, likely out of reverence for the Vedic Sanskrit that distinguished the "r" and "l". However, the northwestern dialect only had "r", while the eastern dialect probably only had "l", states Masica. Thus literary works from different parts of ancient India appear inconsistent in their use of "r" and "l", resulting in doublets that is occasionally semantically differentiated.[10]

พยัญชนะ

Sanskrit possesses a symmetric consonantal phoneme structure based on how the sound is articulated, though the actual usage of these sounds conceals the lack of parallelism in the apparent symmetry possibly from historical changes within the language.[11] The glides and liquids regularly alternate with vowels in Sanskrit, for example, i ≈ y; u ≈ v ([w]); r̥ ≈ r ; l̥ ≈ l, states Jamison.[11][12]

Sanskrit consonants in the Devanagari script[ต้องการอ้างอิง]
(note: Sanskrit is written in many scripts)
Consonants in grey are not phonemic.
sparśa
(Plosive)
anunāsika
(Nasal)
antastha
(Approximant)
ūṣman/saṃghaṣhrī
(Fricative)
Voicing aghoṣa ghoṣa aghoṣa
Aspiration alpaprāṇa mahāprāṇa alpaprāṇa mahāprāṇa alpaprāṇa mahāprāṇa
kaṇṭhya
(Guttural)
ka
/k/
kha
/kʰ/
ga
/ɡ/
gha
/ɡʱ/
ṅa
[ŋ]
ha
/ɦ/
tālavya
(Palatal)
ca
/t͡ɕ/
cha
/t͡ɕʰ/
ja
/d͡ʑ/
jha
/d͡ʑʱ/
ña
[ɲ]
ya
/j/
śa
/ɕ/
mūrdhanya
(Retroflex)
ṭa
/t̠/
ṭha
/t̠ʰ/
ḍa
/d̠/
ḍha
/d̠ʱ/
ṇa
/n̠/
ra
/r/
ṣa
/s̠/
dantya
(Dental)
ta
/t̪/
tha
/t̪ʰ/
da
/d̪/
dha
/d̪ʱ/
na
/n̪/
la
/l/
sa
/s/
oṣṭhya
(Labial)
pa
/p/
pha
/pʰ, ɸ/
ba
/b/
bha
/bʱ, βべーた/
ma
/m/
va
/w, ʋ/

Sanskrit had a series of retroflex stops. All the retroflexes in Sanskrit are in "origin conditioned alternants of dentals, though from the beginning of the language they have a qualified independence", states Jamison.[11]

The palatals are affricates in Sanskrit, not stops.[ต้องการอ้างอิง][then why are they stops in the table above?] The palatal nasal is a conditioned variant of n occurring next to palatal obstruents.[11] The anusvara that Sanskrit deploys is a conditioned alternant of postvocalic nasals, under certain sandhi conditions.[13] Its visarga is a word-final or morpheme-final conditioned alternant of s and r under certain sandhi conditions.[13]

The system of Sanskrit Sounds
[The] order of Sanskrit sounds works along three principles: it goes from simple to complex; it goes from the back to the front of the mouth; and it groups similar sounds together. (...) Among themselves, both the vowels and consonants are ordered according to where in the mouth they are pronounced, going from back to front.

— A. M. Ruppel, The Cambridge Introduction to Sanskrit[14]

The voiceless aspirated series is also an innovation in Sanskrit[ต้องการอ้างอิง] but is significantly rarer than the other three series.[11]

While Panini[ต้องการอ้างอิง] invented and organized sounds for expression beyond those found in the PIE language, Sanskrit retained many features found in the Iranian and Balto-Slavic languages. An example of a similar process in all three, states Jamison, is the retroflex sibilant .s being the automatic product of dental s following i, u, r, and k (mnemonically “ruki”).[13]

นักภาษาสันสกฤตในประเทศไทย

ภาษาสันสกฤตและบาลีมีเผยแพร่ในประเทศไทยมาช้านานแล้ว แต่ส่วนใหญ่จำกัดผู้เล่าเรียนอยู่แต่ในวัดและในวังเท่านั้น เมื่อมีการตั้งมหาวิทยาลัยก็มีคณาจารย์หลายคนสอนสันสกฤต ทั้งเป็นส่วนตัวและระดับมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นรากฐานให้เกิดการศึกษาภาษาสันสกฤตอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น มีนักภาษาสันสกฤต หรือนักสันสกฤตที่มีชื่อเสียงชาวไทยและชาวอินเดียที่นำสันสกฤตมาปักหลักสอนในประเทศไทย มีการสอนหลักสูตรภาษาสันสกฤตในระดับปริญญาตรี และหลักสูตร(บาลี-สันสกฤต, พุทธศาสตร์) ในระดับปริญญาโทและเอกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมถึงได้มีการก่อตั้ง ศูนย์สันสกฤตศึกษาขึ้นที่มหาวิทยาลัยศิลปากร

นักวิชาการที่สอนภาษาสันสกฤตและวรรณคดีสันสกฤตระดับมหาวิทยาลัยในอดีตและปัจจุบันถือว่ายังน้อยมากในประเทศไทย

อ้างอิง

  1. หน้า 5 ต่อจากหน้า 1, สมเด็จพระเทพฯกับรางวัลสันสกฤตโลก. "สกู๊ปหน้า 1". ไทยรัฐปีที่ 67 ฉบับที่ 21514: วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559 แรม 2 ค่ำ เดือน 1 ปีวอก
  2. จำลอง สารพัดนึก. ไวยากรณ์สันสกฤต 1. กรุงเทพฯ:มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.2544
  3. 3.0 3.1 3.2 Jamison 2008, p. 9.
  4. Robert P. Goldman & Sally J Sutherland Goldman 2002, pp. 1–9.
  5. Michael Coulson, Richard Gombrich & James Benson 2011, pp. 21–36.
  6. Colin P. Masica 1993, pp. 163–165.
  7. is not an actual sound of Sanskrit, but rather a graphic convention included among the written vowels to maintain the symmetry of short–long pairs of letters. (Salomon 2003 p.75)
  8. Masica (1991:146) notes of this diacritic that "there is some controversy as to whether it represents a homorganic nasal stop [...], a nasalised vowel, a nasalised semivowel, or all these according to context".
  9. This visarga is a consonant, not a vowel. It's a post-vocalic voiceless glottal fricative [h], and an allophone of s (or less commonly r) usually in word-final position. Some traditions of recitation append an echo of the preceding vowel after the [h] (Wikner (1996:6)): इः [ihi]. Masica (1991:146) considers the visarga, along with letters ṅa and ña, for the "largely predictable" velar and palatal nasals, to be examples of "phonetic overkill in the [writing] system".
  10. 10.0 10.1 Colin P. Masica 1993, pp. 160–161.
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 Jamison 2008, pp. 9–10.
  12. Michael Coulson, Richard Gombrich & James Benson 2011, pp. 1–20.
  13. 13.0 13.1 13.2 Jamison 2008, p. 10.
  14. A. M. Ruppel 2017, pp. 18–19.
  • Macdonell, A.A. A History of Sanskrit Literature. Delhi : Motilal Banarasidas,1971.
  • Winternitz, M. A History of Indian Literature. Calcutta : Loyal Art Press,1962.

แหล่งข้อมูลอื่น